วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

"ซูซูกิ สวิฟท์" สนุก สบาย สมเหตุผล

การเข้ามาบุกตลาดเมืองไทยอย่างเต็มตัวของค่ายรถยนต์ “ซูซูกิ” โดยบริษัทแม่จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นข่าวผ่านทางสื่อมวลชนช่วงก่อนหน้างานมอเตอร์ เอ็กซ์โป พร้อมกับการเปิดตัวบริษัท ซูซูกิ ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย จำกัด หรือ SAMT เข้ามาดูแลกิจการค้าขายรถยนต์ซูซูกิในเมืองไทย ควบคู่ไปกับ บริษัท ซูซูกิ ออโตโมบิล ประเทศไทย จำกัด หรือ SAT ตัวแทนจำหน่ายในปัจจุบัน
     
       ครั้งนี้บริษัทแม่มาตามโครงการอีโคคาร์ที่ซูซูกิลงทุนกว่า 7,500 ล้านบาท ในการสร้างโรงงานและขึ้นไลน์ประกอบรถยนต์ตามโครงการอีโคคาร์ ซึ่งตามกำหนดเดิมจะเปิดตัวปีหน้าแต่จากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ เมื่อปลายปี 2551 ทำให้ซูซูกิประกาศเลื่อนการเผยโฉมออกไปเป็นปี 2555
     
       ทั้งนี้บริษัท SAMT เข้ามาดูแลรถยนต์ซูซูกิชนิดเต็มรูปแบบในปี 2554 โดยระหว่างการเปลี่ยนถ่ายโอนกิจการ SAT จะยังคงดูแลการขายรถ 3 รุ่นที่ขายอยู่เดิมคือ เอพีวี(APV), วีทารา(Vitara) และแคร์รี่(Carry) ส่วนการบริการหลังการขายและอะไหล่ทาง SAMT ดึงกลับไปดูแลเอง
     
       เรื่องดังกล่าวเป็นการยืนยันความตั้งใจจริงของซูซูกิในการเข้ามาทำ ตลาดเมืองไทย พร้อมกับการนำรถยนต์รุ่นแรกเข้ามาเปิดตัวเพื่อหวังสร้างชื่อให้แบรนด์รถยนต์ ซูซูกิ กลับมามีสีสันอีกครั้งด้วย “สวิฟท์ ”(Swift) รถยนต์ขนาดเล็ก อันเป็นทิศทางใหม่ของตลาดรถยนต์ไทยที่หลายค่ายกำลังเร่งปล่อยผลิตภัณฑ์ออกมา
       สำหรับซูซูกินั้นชื่อชั้นเรื่องของการพัฒนารถเล็กจัดอยู่ในระดับแนว หน้าของผู้ผลิตสัญชาติญี่ปุ่น และ สวิฟท์ ก็คือรถธงที่ซูซูกิภาคภูมิใจ โดยเมื่อครั้งเปิดตัวตลาดโลกเมื่อปี 2005 ซูซูกินำเข้า สวิฟท์มาโชว์ในเมืองไทยในงานมอเตอร์โชว์ปีถัดมาและหากใครจะซื้อก็ขายในราคา ราว 1.1 ล้านบาท (ที่ราคาสูงเพราะนำเข้าสำเร็จรูปจากประเทศญี่ปุ่น)
      
       ส่วน สวิฟท์ ที่นำเข้ามาทำตลาดหนนี้เป็นรถยนต์ที่ประกอบมาจากโรงงานของซูซูกิประเทศ อินโดนีเซีย ภายใต้เงื่อนไขอาฟตาที่เสียอากรนำเข้า 0% ดังนั้นจึงสามารถตั้งราคาให้แข่งขันกับรถของค่ายคู่แข่งรายอื่นได้ รวมถึงเป็นการหยั่งกระแสก่อนการเปิดตัวรถเล็กรุ่นใหม่ของซูซูกิ ที่แว่วว่าจะมีให้เห็นก่อนรถจากโครงการอีโคคาร์
     
       อย่างไรก็ตามหลังการเปิดแนะนำตัวสวิฟท์และตั้งราคาขายที่ 5.99 แสนบาทกับ 6.49 แสนบาท(เดิมรุ่นท๊อปทีมงานเสนอจะตั้งราคา 6.67 แสนแต่เพื่อแฟนๆคนไทยของซูซูกิ ผู้บริหารจึงเคาะราคาดังกล่าวแทน) ในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป สวิฟท์สามารถกวาดยอดจองไปทั้งสิ้น 169 คัน รวมกับที่จองนอกงานอีกกว่า 30 คัน กระแสตอบรับสูงเกินกว่าที่คาดไว้อย่างมากจากคำบอกเล่าของผู้บริหารซูซูกิ
     
       เมื่อกระแสของรถเล็กมาแรงเช่นนี้ ทีมงาน “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” จึงไม่พลาดขอทดลองขับ สวิฟท์ แบบทันควันแม้จะมีเวลาเพียงไม่มากสำหรับการทดลองขับหนนี้ เนื่องจากรถเป็นคันเดียวกับที่ให้ลูกค้าทั่วไปลอง จึงมีคิวขอขับอย่างต่อเนื่อง
      
       นัดรับรถที่โชว์รูมและศูนย์บริการตามมาตรฐานอย่างเป็นทางการของ SAMT แห่งแรกและแห่งเดียวในเวลานี้ เมื่อรถพร้อมคนพร้อม สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับทีมงาน สวิฟท์เติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ชนิด E10 ได้ทั้งออกเทน 91 และ95 แต่จะเติมE20ไม่ได้ (ทีมงานเติมโซฮอล์95ให้)
     
       สัมผัสแรกหลังเข้ามานั่งหลังพวงมาลัย ความรู้สึกคือ กว้าง ทัศนวิสัยชัดเจนดี วัสดุและชิ้นส่วนต่างๆ ดูดีมีราคา คุณภาพการประกอบไม่ต่างจากรถประกอบในบ้านเรา หันหน้าไปเห็นปุ่มแอร์ นี่คือจุดขายอันดับ 1 ด้วยระบบแอร์อัตโนมัติ (ที่ยังไม่มีในเมืองไทยสำหรับรถไซส์เดียวกันนี้) ปรับไว้ที่ 22 องศา เย็นฉ่ำ
     
       วิทยุรูปทรงสวยทันสมัยรองรับการเล่นMP3 ลูบคลำพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นที่หุ้มหนังคุณภาพดีพร้อมกับมองไปรอบในห้อง โดยสาร พื้นที่เหนือศรีษะมีเยอะทำให้รู้สึกโล่ง คอนโซลหน้าดีไซน์ให้วางของจุกจิกได้และทำให้พื้นที่ของห้องโดยสารดูกว้าง ไม่อึดอัด แต่ขัดใจตรงกล่องเก็บของคอนโซลกลางยังดูไม่เรียบร้อยเพราะมีน๊อตยึดเพียง 2 ตัว วางแขนแล้วก็โอนเอนไปมาเหมือนจะหลุดเสียให้ได้
       ตัวเบาะนั่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ฟองน้ำนุ่ม นั่งสบาย มีปีกโอบกระชับ และเมื่อปรับให้เข้าที่ตามสรีระ ก็ติดเครื่องด้วยการบิดปุ่มโดยไม่ต้องใช้กุญแจเสียบเนื่องจากเป็นระบบ wave key หรือแบบเดียวกับสมาร์ท เอนทรีของโตโยต้า ให้คุณเปิดรถและสตาร์ทรถได้โดยไม่จำเป็นต้องหยิบกุญแจจากกระเป๋า โดยรวมออปชันที่ให้มาไม่น้อยกว่าคู่แข่งรายใด
     
       ขับออกมาจากโชว์รูมก็เจอกับวิกฤตจราจรบนถนนเพชบุรีตัดใหม่ คันเกียร์แบบขั้นบันไดใช้งานง่าย น้ำหนักของเบรกถูกใจผู้ขับเป็นอย่างมาก ไม่มีอาการหัวทิ่ม สไตล์จะคล้ายกับเบรกของรถยุโรปที่ต้องกดเท้าหนักสักหน่อยสำหรับการหยุดนิ่ง สนิท เมื่อหลุดพ้นการจราจรที่เป็นจราจลเข้าสู่ถนนพระราม9 มุ่งหน้าเป้าหมายสนามบินสุวรรณภูมิ คราวนี้ได้ลองกำลังของเครื่อง M15A ขนาด 1.5 ลิตร ที่มีกำลังสูงสุด 100 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 133 นิวตันเมตร พบว่า การตอบสนองช่วงออกตัวถือว่าสมกำลัง แต่จังหวะคิกดาวน์ที่ความเร็วปานกลางราว 40-70 กม./ชม. ยังไม่จี๊ดจ๊าดเท่าคู่แข่งรายอื่นๆ
     
       ส่วนการคิกดาวน์ที่ความเร็วราว 90 กม./ชม. การตอบสนองดีขึ้นและเมื่อความเร็วทะลุถึง 120 กม./ชม. ช่วงความเร็วมากกว่านี้จะขึ้นเร็วมาก หรือที่เรียกเป็นภาษาชาวบ้านว่า “ไหลปลาย” โดยเราทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 160 กม./ชม. และยังสามารถจะไปเร็วกว่านั้นได้อีกเพียงแต่ถนนและสภาพการจราจรไม่เอื้อ อำนวย การเกาะถนนบอกคำเดียวสั้นๆว่า “เยี่ยม” ที่ความเร็ว140-160 กม./ชม. ยังคงอุ่นใจได้เต็ม100% รถไม่มีอาการลอยลมให้รู้สึกแต่อย่างใด
     
       จังหวะเปลี่ยนเลนแซงคล่องแคล่ว ขับสนุก การเข้าโค้ง สวิฟท์ จิกและเกาะไลน์ในโค้งไม่เป็นรองใคร การบังคับควบคุมพวงมาลัยอาจจะไม่คมเท่าคู่แข่งรายอื่น แต่คุณผู้หญิงสามารถใช้งานได้อย่างสบายและเบามือ
       ณ ความเร็วคงที่ 90 กม./ชม.สังเกตุเห็นรอบเครื่อง 2200 รอบ อัตราการบริโภคน้ำมันตามการแสดงผลของหน้าจอแบบรีลไทม์ระบุตัวเลข 18.5 กม./ลิตร เสียงลมปะทะเริ่มดังรบกวนที่ย่านความเร็ว 130 กม./ชม.ขึ้นไป ขณะที่การป้องกันเสียงจากรบกวนภายนอก(เช่นเสียงรถบรรทุกวิ่ง)ได้ยินชัดเกิน ไปหน่อยเหมือนจะเป็นรองคู่แข่งอยู่พอสมควร
     
       ขากลับเซ็ตตัวเลขค่าเฉลี่ยการบริโภคน้ำมันใหม่กับระยะทางวิ่งราว 30 กม.จากสนามบินกลับมาถึงโชว์รูมซูซูกิ ขับแบบปกติ 80-90 กม./ชม. ถนนว่างก็ราว 120 กม./ชม.ระยะทางราว 26 กม. ใช้เวลาเพียง 10 นาทีเห็นจอแสดงตัวเลข 14.1 กม./ลิตร แต่กับระยะทางที่เหลือ 4 กม. ใช้เวลาไปเกือบ 30 นาที รถติดเต็มรูปแบบ เมื่อจอดถึงโชว์รูมมองหน้าจอระบุตัวเลข 12.0 กม./ลิตร
     
       สรุป อยู่กับเจ้าสวิฟท์เป็นระยะทางทั้งสิ้นกว่า 60 กม. เพียงพอจะบอกว่า ใครที่เบื่อเจ้าตลาด ใครที่อยากได้รถเล็กแต่ให้ความรู้สึกกว้าง แถมขับสนุก บนพื้นฐานราคาสมเหตุสมผล ลองหันมามอง “ซูซูกิ สวิฟท์” คุณอาจจะเจอคำตอบ

ข้อมูลโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์





0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

TopBottom